วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

ว่านหางจระเข้รักษาสิว


ที่มาของภาพ : women.thaiza.com

 ทราบไหมคะว่า ว่านหางจระเข้ที่เรานำมาปลูกเป็นไม้ประดับบ้านในปัจจุบันนี้เป็นพืชพื้น เมืองของทวีปอัฟฟริกาค่ะ แต่สามารถนำมาปลูกในเมืองไทยได้ เพราะพืชชนิดนี้ชอบอากาศร้อน 

    คุณประโยชน์ของว่านหางจระเข้นั้นมากมาย จนน่าจะปลูกไว้เป็นพืชประจำบ้านเลยทีเดียว เพราะสามารถนำมาปั่นเป็นน้ำวุ้นดื่มแก้กระหายคลายร้อนได้ รวมทั้งสามารถนำมาบำรุงผิวและผมได้อีกด้วย เพียงแต่มีข้อแม้ว่าเวลานำไปใช้ต้องล้างยางสีเหลืองๆออกให้หมด รวมทั้งควรจะนำมาใช้แบบสดๆไม่ควรเก็บทิ้งไว้นานค่ะ อยากรู้ว่าว่านหางจระเข้มีสรรพคุณแค่ไหน และทำให้ผิวสวยได้จริงหรือไม่ ลองฟังทางนี้ค่ะ 

สรรพคุณว่านหางจระเข้ 

 เดี๋ยวนี้ใครๆก็รู้ว่าว่านหางจระเข้มีประโยชน์ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมีสรรพคุณอย่างไรบ้าง เราไปค้นหาคำตอบจากผู้รู้มาเล่าให้ฟังกันค่ะ 

 1. ช่วยทำให้อาการปวดแสบปวดร้อนจากการฉายรังสีดีขึ้น โดยทำให้หายปวดแสบปวดร้อน ผิวหนังจะไม่พอง แผลจะค่อยๆแห้งและตกสะเก็ดหลุดออกโดยไม่มีแผลเป็น นอกจากนี้ยังพบว่ามีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด ฝี หนอง มีฤทธิ์ช่วยลดอาการอักเสบและเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่บาดแผล ทำให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย 
-วิธีใช้ เลือกใช้ใบล่างสุดของต้นก่อน นำมาล้างน้ำให้สะอาดปอกเปลือกสีเขียวออกล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมดเพราะอาจจะทำให้ระคายเคืองผิวหนังและทำให้มี อาการแพ้ได้ขูดเอาวุ้นใสปิดพอกบริเวณแผลหรือฝานเป็นแผ่นบางๆ ปิดที่แผลพันด้วยผ้าพันแผลที่สะอาดจะทำให้รู้สึกเย็น หายปวดแสบปวดร้อน เปลี่ยนวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จนกว่าแผลจะหาย 

 2.ใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ::: จากการวิจัยในสัตว์ทดลองและคนไข้ พบว่าเมือกและวุ้นจากใบว่านหางจระเข้เมื่อรับประทาน สามารถป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ 

 3.ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ::: จากการวิจัยในคนไข้โรคเหงือกอักเสบพบว่าสารสกัดจากใบว่านหางจระเข้ สามารถลดอาการอักเสบได้ 

 เมือกและวุ้นจากใบว่านหางจระเข้ นิยมผสมในเครื่องสำอางหลายชนิด เช่น ครีมบำรุงผิว แชมพู ครีมนวดผม โดยช่วยให้ผิวหนังนุ่มไม่หยาบกร้านและช่วยให้ผมดกดำ ส่วนวิธีการนำว่านหางจระเข้ไปใช้เพื่อดูแลผิวพรรณ เราค้นหาสูตรมาได้ดังนี้ 



 ที่มาของภาพ : kungbueaty.blogspot.com

 ว่านหางจระเข้ แก้สิวฝ้า ช่วยให้สิวยุบ 

วิธีทำ 

1.ตัดว่านหางจระเข้แล้วนำไปแช่น้ำประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้ยางสีเหลืองไหลออกมา 

2.ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ออก จนเหลือแต่วุ้นใสๆ ล้างยางออกให้หมด 

3.นำเฉพาะวุ้นว่านหางจระเข้มาใช้ โดยหั่นเป็นชิ้นบางๆหรือบดละเอียดคั้นเอาเฉพาะน้ำวุ้น เก็บไว้ในตู้เย็นใช้ได้หลายครั้ง

กลางคืน ใช้ทาบริเวณที่เป็นสิว ไม่ต้องล้างออก จะทำให้สิวแห้ง และยุบลง 
กลางวัน หลังล้างหน้าทุกครั้ง ใช้น้ำวุ้นว่านหางจระเข้แต้มบริเวณหัวสิว รอให้แห้งแล้วทาครีมกันแดดทับได้เลย 

เกร็ดน่ารู้ 
    ว่านหางจระเข้สดๆจะมีคุณภาพสูงสุด เมื่อตัดจากต้นแล้วนำมาใช้ทันที สำหรับผู้ที่ไม่สามารถหาว่านหางจระเข้สดๆมาใช้ได้ อาจใช้ว่านหางจระเข้ 100 เปอร์เซ็นต์ขององค์การเภสัชกรรมที่บรรจุหลอดขายตามร้านขายยาทั่วไป ก็พอใช้ได้ (นำไปแช่ในตู้เย็น เวลาใช้จะรู้สึกเย็นสบายผิว) 



 พยาบาลน้อย 


 ข้อมูลจาก : http://info.muslimthaipost.com

วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556

วิธีรักษาสิวอุดตันแบบธรรมชาติ


ที่มาของภาพ : www.dek-d.com

วิธีรักษาสิวอุดตันแบบธรรมชาติ

* ดื่มน้ำมะพร้าวทุกวัน วันละ 1 ลูก (เนื้อไม่ต้องทานนะจ๊ะเด๊วอ้วน)..
แต่ช่วงที่เป็นประจำเดือนไม่ควรดื่มเพราะจะทำให้ประจำเดือนหยุดทันที อันนี้เชื่อถือได้เพราะอาจารย์ ม.สงขลาทำการวิจัยมาแล้ว..อาจารย์หน้าใสปิงเลย..

* เวลาล้างหน้าก็ล้างแบบปกตินะคะ ล้างเครื่องสำอางค์ ล้างหน้าแบบปกติ

* เวลามีสิวขึ้นก็ ใช้เกลือแต้ม ที่หัวสิวจนรู้สึกว่าแสบๆๆ(ไม่รู้จะบอกยังไง)แล้วล้างออก ช่วยได้จิงๆๆนะ

* รอยสิวรักษาด้วย น้ำมะขามเปียก อันนี้เริ่ดมาก ใช้น้ำมะขามเปียกข้นๆๆนะคะผสมกับน้ำผึ้งเล็กน้อย หลังล้างหน้าเสร็จก็ทาด้วยน้ำมะขามเปียก ทาทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก น้ำมะขามจะช่วยรักษารอยดำได้ เพราะเป็น กรดอ่อนๆๆ

* ใช้น้ำแข็งประคบ ไม่ว่าจะเป็นสิวหรือเป็นรอยสิว น้ำแข็งช่วยสมานแผลที่อักเสบ แล้วก็ช่วยกระชับรู้ขุมขน ที่สำคัญ ทำให้หน้าเราผ่อนคลาย ใช้เป็นถุงHOT - COLD สะดวกดีคะ ก็เอาไปแช่แข็ง แล้วมาประคบให้ทั่วหน้า ไม่จำกัดเวลานะคะ แล้วแต่จะทนไหวอะคะ
ช่วงเป็นสิวไม่ควรทาครีมบำรุงเลยคะ ถ้าวันไหนหน้าแห้งมากๆๆก็ใช้ วาสลีนปิโตเลี่ยม ทาบางๆๆบริเวณที่แห้งก็หน้าก็จะหายตึงคะ..



พยาบาลน้อย


ข้อมูลจาก  : clinicneo.co.th

สูตรกระเทียมรักษาสิว ไม่ลอง ไม่รู้!!


ที่มาของภาพ : http://www.oknation.net

         ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยใดระบุได้ว่ากระเทียมรักษาสิวได้อย่างเห็นผลชัดเจน แต่ว่าจากการบอกต่อๆ กันมาของคนที่ทดลองนำกระเทียมมารักษาสิวแล้วพบว่ามันได้ผลจริงๆ ทำให้การนำสูตรกระเทียมรักษาสิวนิยมกันอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ส่วนใหญ่เชื่อว่ากระเทียมมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราหรือไวรัส และในกระเทียมยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เป็นผลให้กระเทียมสามารถที่จะแก้สิวได้ วิธีที่จะทำให้เราทราบว่ากระเทียมรักษาสิวได้จริงหรือไม่ก็คือ เราต้องทดลองทำเอง วันนี้เรามีสูตรการใช้กระเทียมสดรักษาสิวมาแนะนำเพื่อนๆ ลองนำไปทดลองใช้ดูกันได้ ถ้าได้ผลอย่างไรก็นำมาแชร์ให้เพื่อนได้รู้ด้วยก็จะดีมากเลย

ที่มาของภาพ : http://www.baanbaitong.com

 สูตรน้ำกระเทียมรักษาสิว 

ขั้นตอนที่ 1: นำกระเทียมมาประมาณ 2-3 กลีบ

ขั้นตอนที่ 2: บดหรือทุบกระเทียมให้ละเอียดจากนั้นนำมาคั้นให้ได้น้ำกระเทียม กรองเอากากออก

ขั้นตอนที่ 3: นำน้ำกระเทียมที่ได้มาทาบริเวณที่เป็นสิว และบริเวณรอบๆ ที่เป็นสิวด้วย โดยกระเทียมจะสามารถป้องกันไม่ให้สิวเกิดเพิ่มขึ้นอีกได้

ขั้นตอนที่ 4: เมื่อทาน้ำกระเทียมทั่วบริเวณที่ต้องการแล้ว ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นล้างออก อย่าทิ้งไว้นานหรือทิ้งไว้ค้างคืน เนื่องจากในกระเทียมจะมีสารบางอย่างที่มีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังไหม้ได้

ขั้นตอนที่ 5: ทาน้ำกระเทียมทุกวันจนกว่าสิวจะหาย เมื่อหายแล้วสามารถทำต่อเนื่องได้ทุกวัน เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดสิวอีกครั้ง น้ำกระเทียมที่เหลือจากการใช้งานสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้

สูตรกระเทียมกับน้ำส้มสายชู(White Vinegar) รักษาสิว 

ขั้นตอนที่ 1: นำกระเทียมมาประมาณ 2-3 กลีบ บดหรือทุบกระเทียมให้ละเอียดจากนั้นนำมาคั้นให้ได้น้ำกระเทียม กรองเอากากออก

ขั้นตอนที่ 2: ผสมน้ำส้มสายชู(White Vinegar) ในปริมาณที่เท่าๆ กับน้ำกระเทียมที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1จากนั้นผสมให้เข้ากัน

ขั้นตอนที่ 3:นำสำลีก้อนมาชุบส่วนผสมที่ได้จากขั้นตอนที่ 2 แล้วนำมาขัดบริเวณที่เป็นสิว น้ำส้มสายชูจะช่วยปรับสภาผิวให้ดีขึ้น ส่วนสารต่อต้านอนุมูลอิสระในกระเทียมจะช่วยลดการติดเชื้อบริเวณที่เป็นสิวและรักษาผิวหน้าให้หายจากสิว 

ทดลองนำไปใช้แก้สิวดูว่าจะได้ผลหรือไม่ ใครลองทำดูแล้วก็มาบอกต่อกันบ้างน่ะ ไม่แน่วิธีรักษาสิวด้วยกระเทียมอาจจะได้ผลกับคุณก็ได้ ไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองเยอะแยะเข้าร้านรักษาสิวแพงๆ ต่างๆ


พยาบาลน้อย


ที่มา : http://thaiacnecare.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

สิวอักเสบ!!


ที่มาของภาพ : http://www.weloveshopping.com

     Papulopustular acne   คือ สิวที่มีลักษณะนูนแดง อาจจะมีหัวหรือไม่มีหัวก็ได้ สิวอักเสบจะเกิดตามจุดอ่อนต่างๆ โดยเฉพาะจุดที่มีต่อมไขมันจำนวนมาก อาจก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดได้ในบางครั้ง สิวอักเสบมีตั้งแต่อักเสบขนาดเล็กไปจนถึงเป็นตุ่มอักเสบขนาดใหญ่ ที่เรียกกันว่า " สิวหัวช้างหรือสิวเม็ดใหญ่ " สร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ที่เป็นสิวอักเสบได้ สิวอักเสบอาจสร้างรอยแผลเป็นได้ถ้าแก้ไขไม่ทัน

 การเกิดการอักเสบของสิวอักเส( สิวอักเสบเกิดขึ้นได้อย่างไร? ) 
การเกิดสิวอักเสบ ทุกประเภท ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ มีหัวและไม่มีหัว พอสรุปการเกิดสิวอักเสบได้ดังนี้ 
1. จากธรรมชาติ เป็นปฏิกิริยาระหว่างแบคทีเรียกับไขมันหรือน้ำมันภายในเซลล์ผิวหนัง ( โคมิโดนในเซลล์ผิวหนัง ) 
2. เกิดจากการกด การบีบ การกระแทกจากฝีมือมนุษย์หรืออุบัติเหตุ 
3. สารเคมี การสัมผัสสารเคมีบางชนิด อาจก่อให้เกิดการอักเสบเป็นสิวอักเสบขึ้นมาได้ สิวอักเสบส่วน ใหญ่จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และปัจจัยหลักๆเกิดจากปฏิกิริยาของแบคทีเรียในบรรยายกาศกับโคมิโดน(ไขมัน หรือน้ำมันที่อุดตันอยู่ภายในเซลล์) จุดที่มีต่อมไขมันมาก มีโอกาสเกิดสิวอักเสบบ่อย เช่น บริเวณแก้ม หน้าผาก คาง แผ่นหลัง เป็นต้น 

การเกิดสิวอักเสบแบบธรรมชาติ 
     เชื้อแบคทีเรีย +( โคมิโดน ) => สิวอักเสบ(รวมถึงสิวหนอง,สิวหัวช้าง ) 
 สิวอักเสบมีหัว คือ โคมิโดนที่อักเสบนูนแดง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากปฏิกิริยาของแบคทีเรียกับโคมิโดน 

 สิวอักเสบไม่มีหัว คือโคมิโดนที่เกิดการอักเสบจากแบคทีเรียและฝังตัวอยู่ภายในเซลล์ผิวหนัง มีปริมาณไขมันไม่มาก 

 สิวอักเสบมีสาเหตุมาจากอะไร? 
    โดยทั่วไปแล้ว สิวอักเสบมาจาก 2 ปัจจัยหลักๆดังนี้ 
1. ปัจจัยจากภายในร่างกายของเราที่ทำให้เกิดสิว เช่น ภาวะฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง หรือโรคภัยไข้เจ็บบางชนิด การได้รับสารบางอย่างเข้าไปภายในร่างกาย ซึ่งสิวอักเสบส่วนใหญ่จะมาจากปัจจัยจากภายในร่างกายของเราเอง 
2. ปัจจัยจากภายนอกร่างกาย เช่น มลพิษจากแสงแวดล้อม แบคทีเรีย ของใช้สอยในชีวิตประจำวัน เครื่องสำอาง สารเคมีต่างๆ การกด การบีบ อุบัติเหตุ เป็นต้น ดังนั้นสิวอักเสบจึงเกิดจาก( 1 + 2 ) ทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกรวมตัวกัน จึงเป็นผลผลิตสิวอักเสบขึ้น 

ชนิดของสิวอักเสบ
1. สิวหนองหรือสิวหัวหนอง สิวหนองเป็นสิว อักเสบอีกประเภทหนึ่ง ปฏิกิริยาระหว่างโคมิโดนและแบคทีเรีย ทำให้เซลล์ที่ห่อหุ้มโคมิโดนอยู่เกิดการอักเสบขึ้นจนกลัดหนอง หนองที่เกิดขึ้นก็คือโมเลกุลของไขมันที่ถูกแบคทีเรียย่อยสลาย 
2. สิวหัวช้างหรือสิวเม็ดใหญ่ที่อักเสบ สิวหัวช้างหรือ สิวเม็ดใหญ่ มีทั้งประเภทอักเสบและไม่อักเสบ กรณีที่สิวหัวช้างอักเสบจะเห็นเป็นลักษณะนูนแดง อาจจะหลายไปเป็นสิวหนองที่มีขนาดใหญ่ ในบางกรณีอาจพัฒนาไปเป็นฝีก็มี แต่อย่างไรก็แล้ว แต่ เมื่อเจาะลึกเข้าไปถึงปัญหาจริงๆแล้ว สิวอักเสบล้วนเกี่ยวข้องกับแบคทีเรีย ทั้งหมด การเกิดการอักเสบของสิวมีสาเหตุมาจากปฏิกิริยาของแบคทีเรียในบรรยากาศและภาย ในเซลล์ผิวหนัง จึงก่อให้เกิดการอักเสบขึ้น ในบางกรณีก็กลายไปเป็นหนองหรือสิวหนองนั่นเอง ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานทางวิทยาศาตร์ ไม่ได้สลับซับซ้อนใดๆ


พยาบาลน้อย

ที่มา :  kamsai.org

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

วิธีรักษาสิวหัวดำ พร้อมวิธีป้องกัน


      ที่มาของภาพ : http://acnecaresite.blogspot.com

       นอกจากสิวอุดตันหรือสิวอักเสบแล้ว!! สิวเสี้ยนก็เป็นสิวอีกประเภทที่เปรียบเสมือนกองกำลังของชนกลุ่มน้อย ที่ไม่มีพิษสงและขีปณาวุธที่จะจู่โจมใบหน้าให้ยับเยินเช่นสิวอักเสบ แต่ก็ก่อความรำคาญให้ได้ไม่หยุดหย่อน เพราะสิวเสี้ยนทำให้ใบหน้าไม่เรียบเนียน เกิดรูขุมขนกว้าง โดยเฉพาะจมูก แก้ม คาง น้อยรายที่อาจพบในบริเวณหน้าผาก หลัง และต้นแขน ที่สำคัญสิวเสี้ยนนี่แหล่ะค่ะ ที่ทำให้คุณผู้หญิงทาแป้งไม่ติด คนอายุตั้งแต่ 17 - 60 ปี ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ล้วนมีสิทธิเป็นสิวเสี้ยนได้ทั้งนั้น ดังนั้น วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปค้นหาคำตอบค่ะ ว่าสาเหตุที่ทำให้เราเป็นสิวเสี้ยน แท้จริงแล้วเกิดจากอะไร? พร้อมทั้งวิธีการรักษาสิวเสี้ยนหรือสิวหัวดำที่ได้ผลมาฝากด้วยค่ะ 

 วิธีการรักษาสิวเสี้ยนหรือสิวหัวดำ (Blackheads) 

1. หยุดเอามือสัมผัสหน้า หรือเท้าคางเวลาคิด เพราะมือของเราเต็มไปด้วยแบคทีเรียและสิ่งสกปรก ซึ่งจะทำให้สิวเห่อได้ 

 2. ล้างหน้าให้สะอาด ทำความสะอาดผิวหน้าของคุณวันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าและตอนกลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคนที่เป็นสิวเสี้ยนชนิดหัวขาวเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่จะทำให้ใบหน้าของคุณสะอาดและปราศจากไขมันส่วนเกิน นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นการกำจัดสิว เลือกครีมล้างหน้าที่มีกรดซาลิไซลิเปอร์ออกไซด์ หรือ benzoyl โดยส่วนผสมเหล่านี้จะช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้น และป้องกันต่อมผลิตน้ำมันบนใบหน้ามากเกินไป 

 ข้อแนะนำ : อย่าล้างหน้ามากกว่าวันละ 2ครั้ง เพราะจะทำให้ใบหน้าแห้งและต่อมผลิตน้ำมันมากขึ้น ใช้โฟมล้างหน้าแบบอ่อนที่ไม่ระคายเคือง และประกอบด้วยมอยเจอไรเซอร์แบบปราศจากน้ำมัน (Oil - free moisturizers) 

 3. การอบไอน้ำให้ผิว เป็นการทำความสะอาดผิวหน้าและลดสิ่งตกค้างบนผิวได้ดี เหมาะกับคนผิวมัน ทำสัปดาห์ละครั้ง คือ นาบผ้าขนหนูอุ่น ๆ ลงบนใบหน้า หรืออังใบหน้ากับไอจากน้ำร้อน ซึ่งเป็นการเปิดรูขุมขนเพื่อง่ายต่อการกำจัดสิวเสี้ยน ทำเช่นนี้เป็นเวลา 5- 10 นาที จากนั้น ล้างด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ล้างหน้า  

4. ใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยน ใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยนตรงจุดที่เป็นสิวเสี้ยน ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วจึงค่อยๆ ดึงออกอย่างช้าๆ สิวเสี้ยนก็จะหลุดออกมาพร้อมแผ่นลอกสิว เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก ราคาไม่แพงนัก แต่การใช้ก็ต้องระมัดระวัง เพราะสารเคมีที่ใช้ อาจก่อให้เกิดการแพ้ได้ค่ะ ดังนั้นเพื่อนๆ อาจจะลองใช้ด้วยวิธีแบบธรรมชาติก็ได้นะค่ะ ให้ผลดีเหมือนกับใช้แผ่นลอกสิว ไม่มีสารตกค้าง และประหยัดกว่าด้วยค่ะ

 5. การมาสก์ผิวด้วยไข่ขาว เป็นวิธีที่เก๋า แต่ก็ช่วยให้สิวเสี้ยนลอกตัวออกมาได้มาก โดยทาไข่ขาวบาง ๆ ที่จมูกหรือข้างแก้ม แล้วนำกระดาษซับหน้าแค่ชั้นเดียว หรือกระดาษทิชชูคลี่ให้บาง แปะทับลงไป ปล่อยให้แห้ง แล้วจึงดึงออก จะมีสิวเสี้ยนหลุดติดออกมาด้วย 

 6.ไปพบแพทย์ผิวหนัง โดยปกติแล้ว เมื่อคุณทำตามคำแนะนำทั้งหมดจะช่วยให้คุณกำจัดสิวได้ แต่ถ้าหากคุณพบว่า ตัวเองยังคงทุกข์ทรมานจากการเป็นสิว ทางออกที่ดีที่สุดคือ ปรึกษาแพทย์และขอคำแนะนำ การรักษาอื่น ๆ อาจมีความจำเป็นเพื่อรักษาสิวบนใบหน้าของคุณด้วย เช่น การกินยาในการดูแลของแพทย์ วิธีทางเคมี เป็นต้น



พยาบาลน้อย


ที่มา : http://acnecaresite.blogspot.com/2012/07/blog-post_31.html

วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

การป้องกันการเกิดสิวเสี้ยน


                        ที่มาของภาพ : www.tsgclub.com

      คนผิวมัน มีโอกาสเกิดสิวเสี้ยนได้ง่าย เนื่องจากต่อมไขมันมีขนาดโต และมีปริมาณน้ำมัน ออกมาฉาบผิวค่อนข้างมาก จึงเกิดการอุดตันปิดปากรูขุมขนได้ง่าย การลดความมันของใบหน้า จึงช่วยป้องกันการเกิดสิวเสี้ยนได้ค่ะ

 วิธีลดความมันของผิวหน้าและลดการอุดตันของรูขุมขน 

1. เลือกใช้เครื่องสำอางที่ช่วยดูดซับความมันของผิว และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเนื้อเบา ชนิดโลชั่นจะเหมาะกว่าชนิดครีม และใช้ในปริมาณเพียงน้อย จะช่วยลดการอุดตันบริเวณรูขุมขน 

 2. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA ซึ่งช่วยผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวที่ตกค้างออก และลดการเกิดสิวเสี้ยนได้ 

 3. การใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอ จำพวกเรตินอล ซึ่งนอกจากจะช่วยต่อต้านริ้วรอยแล้ว ยังช่วยเร่งผลัดการเปลี่ยนเซลล์ผิวด้วย แต่ข้อเสียก็คือ อาจเกิดการแพ้ได้ง่าย จึงอาจเลือกใช้วันเว้นวัน และควรทาตอนผิวแห้งสนิท เนื่องจากปฎิกิริยาระหว่างกรดวิตามินเอกับน้ำ อาจทำให้ผิวลอกตัวมากขึ้น 

 4. การซับหน้าระหว่างวัน โดยการใช้กระดาษซับหน้า กดซับความมันที่ผิวออก ก็เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยลดความมันของผิวได้เช่นกัน วิธีที่ถูกต้องคือ วางกระดาษซับมันตรงบริเวณที่หน้ามัน และกดลงเบาๆ ห้ามถู เพียงแค่ปล่อยให้มันดูดซับน้ำมันที่ผิวออกไปเท่านั้น 

 *** อย่าลืมว่า…สิวเสี้ยน ก็เหมือนสิวอุดตันนั่นแหละค่ะ หากหมั่นรบกวนผิวด้วยการเค้น แคะ แกะ เกา หรือขัดถูหน้าแรงๆ สิวเสี้ยนอาจเกิดการอักเสบหรือทิ้งรอยดำ หรือแผลเป็นไว้บนใบหน้าได้เช่นกันนะค่ะ


พยาบาลน้อย

ที่มา : http://acnecaresite.blogspot.com

เป็นสิวตรงไหนบอกโรคอะไร?

                              ที่มาของภาพ : http://talkaboutsex.thaihealth.or.th

    รู้หรือไม่ว่า...สิวที่ขึ้นแตกต่างกันในแต่ละจุดของใบหน้า สามารถบ่งบอกโรคได้ สิวขึ้นตรงไหนจุดไหนบอกอะไร วันนี้เรามาดูไปพร้อมๆกันเลยค่ะ 

 หน้าผากด้านซ้าย และขวา
 อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : การย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต 
 บ่งบอก : มีความเครียดสูง 

ระหว่างคิ้ว 
 อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ตับ 
 บ่งบอก : อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโตส ทำให้ดื่มนมไม่ได้ 

ใบหูซ้ายและขวา 
 อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ไต 
 บ่งบอก : มีของเสียคั่งค้างในร่างกาย อาจทำให้ตัวบวมได้ แต่ถ้ามีปัญหาการอุดตันของสิวบริเวณใบหู แสดงว่าฟันกรามมีปัญหา 

แก้มซ้ายและขวา 
 อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ไซนัสและปอด(แก้มส่วนบน) เหงือกและฟัน (แก้มส่วนล่าง) 
 บ่งบอก : แพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้เรื้อรัง หรือถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้ม อาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือทางเดินหายใจ 

 รอบดวงตาซ้ายและขวา 
 อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ไตและภูมิแพ้ 
 บ่งบอก : การมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก พักผ่อนน้อยหรือขาดสารอาหาร 

จมูกและเหนือริมฝีปาก 
 อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : หัวใจและระบบสืบพันธุ์ 
 บ่งบอก : ถ้ามีสิวสีแดงเข้มขึ้นบริเวณจมูก บ่งบอกถึงโรคความดันโลหิตสูง แต่ถ้าเป็นสิวอุดตัน จะบ่งบอกถึงระบบฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ประจำเดือน วัยทอง หรือการใช้ยาคุมกำเนิด 

ใต้ริมฝีปากด้านซ้ายและขวา 
 อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : รังไข่ 
 บ่งบอก : ปัญหาสมดุลด้านฮอร์โมน 

 ปลายคาง 
 อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก 
 บ่งบอก : อาจกินอาหารรสจัดเกินไปจนลำไส้เป็นแผล หรือมีปัญหาในการดูดซึม


พยาบาลน้อย


ที่มา : brightlives,variety.teenee.com