วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

ว่านหางจระเข้รักษาสิว


ที่มาของภาพ : women.thaiza.com

 ทราบไหมคะว่า ว่านหางจระเข้ที่เรานำมาปลูกเป็นไม้ประดับบ้านในปัจจุบันนี้เป็นพืชพื้น เมืองของทวีปอัฟฟริกาค่ะ แต่สามารถนำมาปลูกในเมืองไทยได้ เพราะพืชชนิดนี้ชอบอากาศร้อน 

    คุณประโยชน์ของว่านหางจระเข้นั้นมากมาย จนน่าจะปลูกไว้เป็นพืชประจำบ้านเลยทีเดียว เพราะสามารถนำมาปั่นเป็นน้ำวุ้นดื่มแก้กระหายคลายร้อนได้ รวมทั้งสามารถนำมาบำรุงผิวและผมได้อีกด้วย เพียงแต่มีข้อแม้ว่าเวลานำไปใช้ต้องล้างยางสีเหลืองๆออกให้หมด รวมทั้งควรจะนำมาใช้แบบสดๆไม่ควรเก็บทิ้งไว้นานค่ะ อยากรู้ว่าว่านหางจระเข้มีสรรพคุณแค่ไหน และทำให้ผิวสวยได้จริงหรือไม่ ลองฟังทางนี้ค่ะ 

สรรพคุณว่านหางจระเข้ 

 เดี๋ยวนี้ใครๆก็รู้ว่าว่านหางจระเข้มีประโยชน์ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมีสรรพคุณอย่างไรบ้าง เราไปค้นหาคำตอบจากผู้รู้มาเล่าให้ฟังกันค่ะ 

 1. ช่วยทำให้อาการปวดแสบปวดร้อนจากการฉายรังสีดีขึ้น โดยทำให้หายปวดแสบปวดร้อน ผิวหนังจะไม่พอง แผลจะค่อยๆแห้งและตกสะเก็ดหลุดออกโดยไม่มีแผลเป็น นอกจากนี้ยังพบว่ามีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด ฝี หนอง มีฤทธิ์ช่วยลดอาการอักเสบและเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่บาดแผล ทำให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย 
-วิธีใช้ เลือกใช้ใบล่างสุดของต้นก่อน นำมาล้างน้ำให้สะอาดปอกเปลือกสีเขียวออกล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมดเพราะอาจจะทำให้ระคายเคืองผิวหนังและทำให้มี อาการแพ้ได้ขูดเอาวุ้นใสปิดพอกบริเวณแผลหรือฝานเป็นแผ่นบางๆ ปิดที่แผลพันด้วยผ้าพันแผลที่สะอาดจะทำให้รู้สึกเย็น หายปวดแสบปวดร้อน เปลี่ยนวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จนกว่าแผลจะหาย 

 2.ใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ::: จากการวิจัยในสัตว์ทดลองและคนไข้ พบว่าเมือกและวุ้นจากใบว่านหางจระเข้เมื่อรับประทาน สามารถป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ 

 3.ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ::: จากการวิจัยในคนไข้โรคเหงือกอักเสบพบว่าสารสกัดจากใบว่านหางจระเข้ สามารถลดอาการอักเสบได้ 

 เมือกและวุ้นจากใบว่านหางจระเข้ นิยมผสมในเครื่องสำอางหลายชนิด เช่น ครีมบำรุงผิว แชมพู ครีมนวดผม โดยช่วยให้ผิวหนังนุ่มไม่หยาบกร้านและช่วยให้ผมดกดำ ส่วนวิธีการนำว่านหางจระเข้ไปใช้เพื่อดูแลผิวพรรณ เราค้นหาสูตรมาได้ดังนี้ 



 ที่มาของภาพ : kungbueaty.blogspot.com

 ว่านหางจระเข้ แก้สิวฝ้า ช่วยให้สิวยุบ 

วิธีทำ 

1.ตัดว่านหางจระเข้แล้วนำไปแช่น้ำประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้ยางสีเหลืองไหลออกมา 

2.ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ออก จนเหลือแต่วุ้นใสๆ ล้างยางออกให้หมด 

3.นำเฉพาะวุ้นว่านหางจระเข้มาใช้ โดยหั่นเป็นชิ้นบางๆหรือบดละเอียดคั้นเอาเฉพาะน้ำวุ้น เก็บไว้ในตู้เย็นใช้ได้หลายครั้ง

กลางคืน ใช้ทาบริเวณที่เป็นสิว ไม่ต้องล้างออก จะทำให้สิวแห้ง และยุบลง 
กลางวัน หลังล้างหน้าทุกครั้ง ใช้น้ำวุ้นว่านหางจระเข้แต้มบริเวณหัวสิว รอให้แห้งแล้วทาครีมกันแดดทับได้เลย 

เกร็ดน่ารู้ 
    ว่านหางจระเข้สดๆจะมีคุณภาพสูงสุด เมื่อตัดจากต้นแล้วนำมาใช้ทันที สำหรับผู้ที่ไม่สามารถหาว่านหางจระเข้สดๆมาใช้ได้ อาจใช้ว่านหางจระเข้ 100 เปอร์เซ็นต์ขององค์การเภสัชกรรมที่บรรจุหลอดขายตามร้านขายยาทั่วไป ก็พอใช้ได้ (นำไปแช่ในตู้เย็น เวลาใช้จะรู้สึกเย็นสบายผิว) 



 พยาบาลน้อย 


 ข้อมูลจาก : http://info.muslimthaipost.com

วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556

วิธีรักษาสิวอุดตันแบบธรรมชาติ


ที่มาของภาพ : www.dek-d.com

วิธีรักษาสิวอุดตันแบบธรรมชาติ

* ดื่มน้ำมะพร้าวทุกวัน วันละ 1 ลูก (เนื้อไม่ต้องทานนะจ๊ะเด๊วอ้วน)..
แต่ช่วงที่เป็นประจำเดือนไม่ควรดื่มเพราะจะทำให้ประจำเดือนหยุดทันที อันนี้เชื่อถือได้เพราะอาจารย์ ม.สงขลาทำการวิจัยมาแล้ว..อาจารย์หน้าใสปิงเลย..

* เวลาล้างหน้าก็ล้างแบบปกตินะคะ ล้างเครื่องสำอางค์ ล้างหน้าแบบปกติ

* เวลามีสิวขึ้นก็ ใช้เกลือแต้ม ที่หัวสิวจนรู้สึกว่าแสบๆๆ(ไม่รู้จะบอกยังไง)แล้วล้างออก ช่วยได้จิงๆๆนะ

* รอยสิวรักษาด้วย น้ำมะขามเปียก อันนี้เริ่ดมาก ใช้น้ำมะขามเปียกข้นๆๆนะคะผสมกับน้ำผึ้งเล็กน้อย หลังล้างหน้าเสร็จก็ทาด้วยน้ำมะขามเปียก ทาทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก น้ำมะขามจะช่วยรักษารอยดำได้ เพราะเป็น กรดอ่อนๆๆ

* ใช้น้ำแข็งประคบ ไม่ว่าจะเป็นสิวหรือเป็นรอยสิว น้ำแข็งช่วยสมานแผลที่อักเสบ แล้วก็ช่วยกระชับรู้ขุมขน ที่สำคัญ ทำให้หน้าเราผ่อนคลาย ใช้เป็นถุงHOT - COLD สะดวกดีคะ ก็เอาไปแช่แข็ง แล้วมาประคบให้ทั่วหน้า ไม่จำกัดเวลานะคะ แล้วแต่จะทนไหวอะคะ
ช่วงเป็นสิวไม่ควรทาครีมบำรุงเลยคะ ถ้าวันไหนหน้าแห้งมากๆๆก็ใช้ วาสลีนปิโตเลี่ยม ทาบางๆๆบริเวณที่แห้งก็หน้าก็จะหายตึงคะ..



พยาบาลน้อย


ข้อมูลจาก  : clinicneo.co.th

สูตรกระเทียมรักษาสิว ไม่ลอง ไม่รู้!!


ที่มาของภาพ : http://www.oknation.net

         ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยใดระบุได้ว่ากระเทียมรักษาสิวได้อย่างเห็นผลชัดเจน แต่ว่าจากการบอกต่อๆ กันมาของคนที่ทดลองนำกระเทียมมารักษาสิวแล้วพบว่ามันได้ผลจริงๆ ทำให้การนำสูตรกระเทียมรักษาสิวนิยมกันอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ส่วนใหญ่เชื่อว่ากระเทียมมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราหรือไวรัส และในกระเทียมยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เป็นผลให้กระเทียมสามารถที่จะแก้สิวได้ วิธีที่จะทำให้เราทราบว่ากระเทียมรักษาสิวได้จริงหรือไม่ก็คือ เราต้องทดลองทำเอง วันนี้เรามีสูตรการใช้กระเทียมสดรักษาสิวมาแนะนำเพื่อนๆ ลองนำไปทดลองใช้ดูกันได้ ถ้าได้ผลอย่างไรก็นำมาแชร์ให้เพื่อนได้รู้ด้วยก็จะดีมากเลย

ที่มาของภาพ : http://www.baanbaitong.com

 สูตรน้ำกระเทียมรักษาสิว 

ขั้นตอนที่ 1: นำกระเทียมมาประมาณ 2-3 กลีบ

ขั้นตอนที่ 2: บดหรือทุบกระเทียมให้ละเอียดจากนั้นนำมาคั้นให้ได้น้ำกระเทียม กรองเอากากออก

ขั้นตอนที่ 3: นำน้ำกระเทียมที่ได้มาทาบริเวณที่เป็นสิว และบริเวณรอบๆ ที่เป็นสิวด้วย โดยกระเทียมจะสามารถป้องกันไม่ให้สิวเกิดเพิ่มขึ้นอีกได้

ขั้นตอนที่ 4: เมื่อทาน้ำกระเทียมทั่วบริเวณที่ต้องการแล้ว ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นล้างออก อย่าทิ้งไว้นานหรือทิ้งไว้ค้างคืน เนื่องจากในกระเทียมจะมีสารบางอย่างที่มีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังไหม้ได้

ขั้นตอนที่ 5: ทาน้ำกระเทียมทุกวันจนกว่าสิวจะหาย เมื่อหายแล้วสามารถทำต่อเนื่องได้ทุกวัน เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดสิวอีกครั้ง น้ำกระเทียมที่เหลือจากการใช้งานสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้

สูตรกระเทียมกับน้ำส้มสายชู(White Vinegar) รักษาสิว 

ขั้นตอนที่ 1: นำกระเทียมมาประมาณ 2-3 กลีบ บดหรือทุบกระเทียมให้ละเอียดจากนั้นนำมาคั้นให้ได้น้ำกระเทียม กรองเอากากออก

ขั้นตอนที่ 2: ผสมน้ำส้มสายชู(White Vinegar) ในปริมาณที่เท่าๆ กับน้ำกระเทียมที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1จากนั้นผสมให้เข้ากัน

ขั้นตอนที่ 3:นำสำลีก้อนมาชุบส่วนผสมที่ได้จากขั้นตอนที่ 2 แล้วนำมาขัดบริเวณที่เป็นสิว น้ำส้มสายชูจะช่วยปรับสภาผิวให้ดีขึ้น ส่วนสารต่อต้านอนุมูลอิสระในกระเทียมจะช่วยลดการติดเชื้อบริเวณที่เป็นสิวและรักษาผิวหน้าให้หายจากสิว 

ทดลองนำไปใช้แก้สิวดูว่าจะได้ผลหรือไม่ ใครลองทำดูแล้วก็มาบอกต่อกันบ้างน่ะ ไม่แน่วิธีรักษาสิวด้วยกระเทียมอาจจะได้ผลกับคุณก็ได้ ไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองเยอะแยะเข้าร้านรักษาสิวแพงๆ ต่างๆ


พยาบาลน้อย


ที่มา : http://thaiacnecare.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

สิวอักเสบ!!


ที่มาของภาพ : http://www.weloveshopping.com

     Papulopustular acne   คือ สิวที่มีลักษณะนูนแดง อาจจะมีหัวหรือไม่มีหัวก็ได้ สิวอักเสบจะเกิดตามจุดอ่อนต่างๆ โดยเฉพาะจุดที่มีต่อมไขมันจำนวนมาก อาจก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดได้ในบางครั้ง สิวอักเสบมีตั้งแต่อักเสบขนาดเล็กไปจนถึงเป็นตุ่มอักเสบขนาดใหญ่ ที่เรียกกันว่า " สิวหัวช้างหรือสิวเม็ดใหญ่ " สร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ที่เป็นสิวอักเสบได้ สิวอักเสบอาจสร้างรอยแผลเป็นได้ถ้าแก้ไขไม่ทัน

 การเกิดการอักเสบของสิวอักเส( สิวอักเสบเกิดขึ้นได้อย่างไร? ) 
การเกิดสิวอักเสบ ทุกประเภท ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ มีหัวและไม่มีหัว พอสรุปการเกิดสิวอักเสบได้ดังนี้ 
1. จากธรรมชาติ เป็นปฏิกิริยาระหว่างแบคทีเรียกับไขมันหรือน้ำมันภายในเซลล์ผิวหนัง ( โคมิโดนในเซลล์ผิวหนัง ) 
2. เกิดจากการกด การบีบ การกระแทกจากฝีมือมนุษย์หรืออุบัติเหตุ 
3. สารเคมี การสัมผัสสารเคมีบางชนิด อาจก่อให้เกิดการอักเสบเป็นสิวอักเสบขึ้นมาได้ สิวอักเสบส่วน ใหญ่จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และปัจจัยหลักๆเกิดจากปฏิกิริยาของแบคทีเรียในบรรยายกาศกับโคมิโดน(ไขมัน หรือน้ำมันที่อุดตันอยู่ภายในเซลล์) จุดที่มีต่อมไขมันมาก มีโอกาสเกิดสิวอักเสบบ่อย เช่น บริเวณแก้ม หน้าผาก คาง แผ่นหลัง เป็นต้น 

การเกิดสิวอักเสบแบบธรรมชาติ 
     เชื้อแบคทีเรีย +( โคมิโดน ) => สิวอักเสบ(รวมถึงสิวหนอง,สิวหัวช้าง ) 
 สิวอักเสบมีหัว คือ โคมิโดนที่อักเสบนูนแดง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากปฏิกิริยาของแบคทีเรียกับโคมิโดน 

 สิวอักเสบไม่มีหัว คือโคมิโดนที่เกิดการอักเสบจากแบคทีเรียและฝังตัวอยู่ภายในเซลล์ผิวหนัง มีปริมาณไขมันไม่มาก 

 สิวอักเสบมีสาเหตุมาจากอะไร? 
    โดยทั่วไปแล้ว สิวอักเสบมาจาก 2 ปัจจัยหลักๆดังนี้ 
1. ปัจจัยจากภายในร่างกายของเราที่ทำให้เกิดสิว เช่น ภาวะฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง หรือโรคภัยไข้เจ็บบางชนิด การได้รับสารบางอย่างเข้าไปภายในร่างกาย ซึ่งสิวอักเสบส่วนใหญ่จะมาจากปัจจัยจากภายในร่างกายของเราเอง 
2. ปัจจัยจากภายนอกร่างกาย เช่น มลพิษจากแสงแวดล้อม แบคทีเรีย ของใช้สอยในชีวิตประจำวัน เครื่องสำอาง สารเคมีต่างๆ การกด การบีบ อุบัติเหตุ เป็นต้น ดังนั้นสิวอักเสบจึงเกิดจาก( 1 + 2 ) ทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกรวมตัวกัน จึงเป็นผลผลิตสิวอักเสบขึ้น 

ชนิดของสิวอักเสบ
1. สิวหนองหรือสิวหัวหนอง สิวหนองเป็นสิว อักเสบอีกประเภทหนึ่ง ปฏิกิริยาระหว่างโคมิโดนและแบคทีเรีย ทำให้เซลล์ที่ห่อหุ้มโคมิโดนอยู่เกิดการอักเสบขึ้นจนกลัดหนอง หนองที่เกิดขึ้นก็คือโมเลกุลของไขมันที่ถูกแบคทีเรียย่อยสลาย 
2. สิวหัวช้างหรือสิวเม็ดใหญ่ที่อักเสบ สิวหัวช้างหรือ สิวเม็ดใหญ่ มีทั้งประเภทอักเสบและไม่อักเสบ กรณีที่สิวหัวช้างอักเสบจะเห็นเป็นลักษณะนูนแดง อาจจะหลายไปเป็นสิวหนองที่มีขนาดใหญ่ ในบางกรณีอาจพัฒนาไปเป็นฝีก็มี แต่อย่างไรก็แล้ว แต่ เมื่อเจาะลึกเข้าไปถึงปัญหาจริงๆแล้ว สิวอักเสบล้วนเกี่ยวข้องกับแบคทีเรีย ทั้งหมด การเกิดการอักเสบของสิวมีสาเหตุมาจากปฏิกิริยาของแบคทีเรียในบรรยากาศและภาย ในเซลล์ผิวหนัง จึงก่อให้เกิดการอักเสบขึ้น ในบางกรณีก็กลายไปเป็นหนองหรือสิวหนองนั่นเอง ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานทางวิทยาศาตร์ ไม่ได้สลับซับซ้อนใดๆ


พยาบาลน้อย

ที่มา :  kamsai.org

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

วิธีรักษาสิวหัวดำ พร้อมวิธีป้องกัน


      ที่มาของภาพ : http://acnecaresite.blogspot.com

       นอกจากสิวอุดตันหรือสิวอักเสบแล้ว!! สิวเสี้ยนก็เป็นสิวอีกประเภทที่เปรียบเสมือนกองกำลังของชนกลุ่มน้อย ที่ไม่มีพิษสงและขีปณาวุธที่จะจู่โจมใบหน้าให้ยับเยินเช่นสิวอักเสบ แต่ก็ก่อความรำคาญให้ได้ไม่หยุดหย่อน เพราะสิวเสี้ยนทำให้ใบหน้าไม่เรียบเนียน เกิดรูขุมขนกว้าง โดยเฉพาะจมูก แก้ม คาง น้อยรายที่อาจพบในบริเวณหน้าผาก หลัง และต้นแขน ที่สำคัญสิวเสี้ยนนี่แหล่ะค่ะ ที่ทำให้คุณผู้หญิงทาแป้งไม่ติด คนอายุตั้งแต่ 17 - 60 ปี ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ล้วนมีสิทธิเป็นสิวเสี้ยนได้ทั้งนั้น ดังนั้น วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปค้นหาคำตอบค่ะ ว่าสาเหตุที่ทำให้เราเป็นสิวเสี้ยน แท้จริงแล้วเกิดจากอะไร? พร้อมทั้งวิธีการรักษาสิวเสี้ยนหรือสิวหัวดำที่ได้ผลมาฝากด้วยค่ะ 

 วิธีการรักษาสิวเสี้ยนหรือสิวหัวดำ (Blackheads) 

1. หยุดเอามือสัมผัสหน้า หรือเท้าคางเวลาคิด เพราะมือของเราเต็มไปด้วยแบคทีเรียและสิ่งสกปรก ซึ่งจะทำให้สิวเห่อได้ 

 2. ล้างหน้าให้สะอาด ทำความสะอาดผิวหน้าของคุณวันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าและตอนกลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคนที่เป็นสิวเสี้ยนชนิดหัวขาวเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่จะทำให้ใบหน้าของคุณสะอาดและปราศจากไขมันส่วนเกิน นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นการกำจัดสิว เลือกครีมล้างหน้าที่มีกรดซาลิไซลิเปอร์ออกไซด์ หรือ benzoyl โดยส่วนผสมเหล่านี้จะช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้น และป้องกันต่อมผลิตน้ำมันบนใบหน้ามากเกินไป 

 ข้อแนะนำ : อย่าล้างหน้ามากกว่าวันละ 2ครั้ง เพราะจะทำให้ใบหน้าแห้งและต่อมผลิตน้ำมันมากขึ้น ใช้โฟมล้างหน้าแบบอ่อนที่ไม่ระคายเคือง และประกอบด้วยมอยเจอไรเซอร์แบบปราศจากน้ำมัน (Oil - free moisturizers) 

 3. การอบไอน้ำให้ผิว เป็นการทำความสะอาดผิวหน้าและลดสิ่งตกค้างบนผิวได้ดี เหมาะกับคนผิวมัน ทำสัปดาห์ละครั้ง คือ นาบผ้าขนหนูอุ่น ๆ ลงบนใบหน้า หรืออังใบหน้ากับไอจากน้ำร้อน ซึ่งเป็นการเปิดรูขุมขนเพื่อง่ายต่อการกำจัดสิวเสี้ยน ทำเช่นนี้เป็นเวลา 5- 10 นาที จากนั้น ล้างด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ล้างหน้า  

4. ใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยน ใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยนตรงจุดที่เป็นสิวเสี้ยน ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วจึงค่อยๆ ดึงออกอย่างช้าๆ สิวเสี้ยนก็จะหลุดออกมาพร้อมแผ่นลอกสิว เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก ราคาไม่แพงนัก แต่การใช้ก็ต้องระมัดระวัง เพราะสารเคมีที่ใช้ อาจก่อให้เกิดการแพ้ได้ค่ะ ดังนั้นเพื่อนๆ อาจจะลองใช้ด้วยวิธีแบบธรรมชาติก็ได้นะค่ะ ให้ผลดีเหมือนกับใช้แผ่นลอกสิว ไม่มีสารตกค้าง และประหยัดกว่าด้วยค่ะ

 5. การมาสก์ผิวด้วยไข่ขาว เป็นวิธีที่เก๋า แต่ก็ช่วยให้สิวเสี้ยนลอกตัวออกมาได้มาก โดยทาไข่ขาวบาง ๆ ที่จมูกหรือข้างแก้ม แล้วนำกระดาษซับหน้าแค่ชั้นเดียว หรือกระดาษทิชชูคลี่ให้บาง แปะทับลงไป ปล่อยให้แห้ง แล้วจึงดึงออก จะมีสิวเสี้ยนหลุดติดออกมาด้วย 

 6.ไปพบแพทย์ผิวหนัง โดยปกติแล้ว เมื่อคุณทำตามคำแนะนำทั้งหมดจะช่วยให้คุณกำจัดสิวได้ แต่ถ้าหากคุณพบว่า ตัวเองยังคงทุกข์ทรมานจากการเป็นสิว ทางออกที่ดีที่สุดคือ ปรึกษาแพทย์และขอคำแนะนำ การรักษาอื่น ๆ อาจมีความจำเป็นเพื่อรักษาสิวบนใบหน้าของคุณด้วย เช่น การกินยาในการดูแลของแพทย์ วิธีทางเคมี เป็นต้น



พยาบาลน้อย


ที่มา : http://acnecaresite.blogspot.com/2012/07/blog-post_31.html

วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

การป้องกันการเกิดสิวเสี้ยน


                        ที่มาของภาพ : www.tsgclub.com

      คนผิวมัน มีโอกาสเกิดสิวเสี้ยนได้ง่าย เนื่องจากต่อมไขมันมีขนาดโต และมีปริมาณน้ำมัน ออกมาฉาบผิวค่อนข้างมาก จึงเกิดการอุดตันปิดปากรูขุมขนได้ง่าย การลดความมันของใบหน้า จึงช่วยป้องกันการเกิดสิวเสี้ยนได้ค่ะ

 วิธีลดความมันของผิวหน้าและลดการอุดตันของรูขุมขน 

1. เลือกใช้เครื่องสำอางที่ช่วยดูดซับความมันของผิว และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเนื้อเบา ชนิดโลชั่นจะเหมาะกว่าชนิดครีม และใช้ในปริมาณเพียงน้อย จะช่วยลดการอุดตันบริเวณรูขุมขน 

 2. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA ซึ่งช่วยผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวที่ตกค้างออก และลดการเกิดสิวเสี้ยนได้ 

 3. การใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอ จำพวกเรตินอล ซึ่งนอกจากจะช่วยต่อต้านริ้วรอยแล้ว ยังช่วยเร่งผลัดการเปลี่ยนเซลล์ผิวด้วย แต่ข้อเสียก็คือ อาจเกิดการแพ้ได้ง่าย จึงอาจเลือกใช้วันเว้นวัน และควรทาตอนผิวแห้งสนิท เนื่องจากปฎิกิริยาระหว่างกรดวิตามินเอกับน้ำ อาจทำให้ผิวลอกตัวมากขึ้น 

 4. การซับหน้าระหว่างวัน โดยการใช้กระดาษซับหน้า กดซับความมันที่ผิวออก ก็เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยลดความมันของผิวได้เช่นกัน วิธีที่ถูกต้องคือ วางกระดาษซับมันตรงบริเวณที่หน้ามัน และกดลงเบาๆ ห้ามถู เพียงแค่ปล่อยให้มันดูดซับน้ำมันที่ผิวออกไปเท่านั้น 

 *** อย่าลืมว่า…สิวเสี้ยน ก็เหมือนสิวอุดตันนั่นแหละค่ะ หากหมั่นรบกวนผิวด้วยการเค้น แคะ แกะ เกา หรือขัดถูหน้าแรงๆ สิวเสี้ยนอาจเกิดการอักเสบหรือทิ้งรอยดำ หรือแผลเป็นไว้บนใบหน้าได้เช่นกันนะค่ะ


พยาบาลน้อย

ที่มา : http://acnecaresite.blogspot.com

เป็นสิวตรงไหนบอกโรคอะไร?

                              ที่มาของภาพ : http://talkaboutsex.thaihealth.or.th

    รู้หรือไม่ว่า...สิวที่ขึ้นแตกต่างกันในแต่ละจุดของใบหน้า สามารถบ่งบอกโรคได้ สิวขึ้นตรงไหนจุดไหนบอกอะไร วันนี้เรามาดูไปพร้อมๆกันเลยค่ะ 

 หน้าผากด้านซ้าย และขวา
 อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : การย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต 
 บ่งบอก : มีความเครียดสูง 

ระหว่างคิ้ว 
 อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ตับ 
 บ่งบอก : อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโตส ทำให้ดื่มนมไม่ได้ 

ใบหูซ้ายและขวา 
 อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ไต 
 บ่งบอก : มีของเสียคั่งค้างในร่างกาย อาจทำให้ตัวบวมได้ แต่ถ้ามีปัญหาการอุดตันของสิวบริเวณใบหู แสดงว่าฟันกรามมีปัญหา 

แก้มซ้ายและขวา 
 อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ไซนัสและปอด(แก้มส่วนบน) เหงือกและฟัน (แก้มส่วนล่าง) 
 บ่งบอก : แพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้เรื้อรัง หรือถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้ม อาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือทางเดินหายใจ 

 รอบดวงตาซ้ายและขวา 
 อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ไตและภูมิแพ้ 
 บ่งบอก : การมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก พักผ่อนน้อยหรือขาดสารอาหาร 

จมูกและเหนือริมฝีปาก 
 อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : หัวใจและระบบสืบพันธุ์ 
 บ่งบอก : ถ้ามีสิวสีแดงเข้มขึ้นบริเวณจมูก บ่งบอกถึงโรคความดันโลหิตสูง แต่ถ้าเป็นสิวอุดตัน จะบ่งบอกถึงระบบฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ประจำเดือน วัยทอง หรือการใช้ยาคุมกำเนิด 

ใต้ริมฝีปากด้านซ้ายและขวา 
 อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : รังไข่ 
 บ่งบอก : ปัญหาสมดุลด้านฮอร์โมน 

 ปลายคาง 
 อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก 
 บ่งบอก : อาจกินอาหารรสจัดเกินไปจนลำไส้เป็นแผล หรือมีปัญหาในการดูดซึม


พยาบาลน้อย


ที่มา : brightlives,variety.teenee.com

การนอนกับเรื่องสิว


ที่มาของภาพ : http://news.nerkoo.com/wp-content/uploads/2013/01/141.jpg

     การนอน เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยดูแลผิวและทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้มากขึ้น ถึงจะไม่ได้ช่วยเรื่องสิวโดยตรงแต่อย่างที่เข้าใจกันว่าสิวเกิดจากแบคทีเรียซึ่งเป็นเชื้อโรคชนิดหนึ่งและเมื่อร่างกายเราแ็ข็งแรงก็จะทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับแบคทีเรียได้


 สิวกับการนอนหลับ 

     การนอนหลับกับผิวของคุณ - - วิธีการที่ง่ายและดีที่สุดที่คุณสามารถทำให้กับผิวของคุณได้อย่างที่คุณไม่เคยคิดคือ การนอน!!! นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างเห็นพ้องต้องกันว่าการได้นอนหลับอย่างเป็นสุขในค่ำคืนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง จะช่วยในเรื่องของผิวได้อย่างไม่น่าเชื่อ - - อย่างไร??? สุขภาพที่ดี, การพักผ่อนที่ดี เป็นแหล่งที่มาในการสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ในขณะที่ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงไม่ได้ช่วยป้องกันสิวได้ทั้งหมด แต่ช่วยในการต่อสู้กับเชื้อโรค ดังนั้นการอักเสบของสิวก็จะหายได้เร็วขึ้น - - โชคดีที่ร่างกายไม่เรื่องมาก เพราะการหลับอย่างต่อเนื่องในช่วงกลางวันโดยไม่ถูกรบกวนก็มีประโยชน์เช่นกัน ดังนั้นหากทำงานดึก, นอนดึก พยามยามรักษาตารางเวลาให้ดี 

     การวิจัยได้ชี้แจงว่า ระดับฮอร์โมนของคนเราจะเพิ่มขึ้นเมื่อเราถูกรบกวนระหว่างการนอนหลับ การเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนจะให้ผลในการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นซึ่งจะนำไปสู่การเกิดสิวที่เพิ่มขึ้น ระหว่างการนอนหลับเซลล์ผิวจะมีการสร้างเซลล์ใหม่และบำรุงเซลล์เหล่านั้นเพื่อซ่อมแซมตัวเองจากการใช้งานมาตลอดทั้งวัน เข้านอนให้เร็วขึ้นกว่าปกติประมาณ 1-2 ชั่วโมง หลังจากนั้นไม่กี่วันจะรู้สึกได้ถึงความเนียนใสและสุขภาพผิวหน้าที่ดีขึ้นกว่าเดิม 

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเพื่อนๆก็อย่านอนดึกกันนะครับ เดี๋ยวจะเกิดปัญหาสิวตามมาแล้วจะแก้ไขยากนะครับ

 พยาบาลน้อย 


 ที่มา : Acnethai.com

วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

การดื่มนมกับเรื่องสิว

ที่มาของภาพ :http://health-4-women.blogspot.com/2013/02/blog-post_6.html

       วัยรุ่นทั้งหลายต่างถูกกระตุ้นให้ดื่มนมเพื่อเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ... ว่าแต่นมนั้นทำให้เกิดผลข้างเคียงอันตรายใด ๆ ต่อร่างกายหรือเปล่า?? แพทย์ผิวหนังหลายคนเชื่อว่านมและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ได้จากนมนั้นอาจสามารถเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวได้

      นิตยสารของ American Academy of Dermatology รายงานว่านมพร่องมันเนย (Skim milk) กับสิวนั้นมีความเกี่ยวเนื่องกัน ได้มีการทดลองกับผู้หญิงจำนวน 47,335 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของนมกับสิว ผู้หญิงที่ได้เข้ารับการทดลองนั้นจะถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับนมที่เธอเหล่านั้นดื่ม และคำถามที่ว่าเธอเหล่านั้นมีอาการของสิวรุนแรงในวัยรุ่นหรือไม่ 

ที่มาของภาพ:http://www.vcharkarn.com/uploads/159/159784.jpg

     ผลที่ได้จากการวิจัย แสดงให้เห็นว่า 44% ของหญิงที่ดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 2 แก้วขึ้นไปจะมีความเป็นไปได้ในการเกิดสิวอักเสบและสิวหนองได้สูงกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้ดื่มนม ผู้หญิงที่ดื่มนมพร่องมันเนยมากกว่า 2 แก้วต่อวันจะมีความเป็นไปได้ในการเกิดสิว มากกว่าผู้ที่ดื่มนมปราศจากไขมันวันละ 1 แก้ว 22% - - จากข้อมูลดังกล่าว ทีมวิจัยจึงสร้างความสัมพันธ์ในแง่บวกระหว่างนมกับสิวได้ นิตยสารของ American Academy of Dermatology รายงานว่าปัจจัยหลักของการเกิดสิวจากนมคือฮอร์โมนและโมเลกุลชีวภาพ (ซึ่งเป็นโมเลกุลเคมีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในสิ่งมีชีวิต) 

    ผลิตภัณฑ์จากนมชนิดอื่น ๆ ที่ได้รับการทดสอบระหว่างการวิจัยนี้แตกต่างจากผลิตภัณฑ์จากนมเช่น ชีส ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กับสิวมากเท่ากับนมพร่องมันเนย ส่วนนมปกติและนมไขมันต่ำไม่มีรายงานแสดงผลที่ได้ 

      ธาตุไอโอดีนในนมอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดสิว เนื่องจากเห็นได้ชัดเจนว่าในนมมีส่วนของธาตุไอโอดีนอยู่ เพราะเจ้าของฟาร์มจะให้อาหารที่เสริมคุณค่าไอโอดีนให้กับวัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อ จึงเป็นสาเหตุที่มีปริมาณของธาตุไอโอดีนอยู่ในผลิตภัณฑ์นมธาตุไอโอดีนนั้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดสิว แต่ฮอร์โมนและโมเลกุลชีวภาพก็เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นเดียวกัน

 อย่างไรก็ตาม ในประเด็นนี้ยังคงต้องการงานวิจัยเพิ่มเติม, จึงจะสามารถสรุปได้ว่า ควรงดการดื่มนมพร่องมันเนยเพื่อป้องกันการเกิดสิว ส่วนผลิตภัณฑ์จากนมชนิดอื่น ๆ ก็ควรรับประทานแต่พอประมาณเพื่อป้องกันการเกิดสิว 


 พยาบาลน้อย 


 ที่มา: acnethai.com/content/view/234/44/

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556

5 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับสิว



สิว...สิ่งเล็กๆ ที่สร้างผลกระทบได้มากกว่าที่คุณคิด
    นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนังกล่าวว่า เนื่องจากโรคสิวเป็นโรคที่พบบ่อยและก่อความกังวลให้แก่ผู้ป่วย ผู้ป่วยมักมีความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับโรคสิว ทำให้การรักษาไม่ได้ผล

ความเชื่อที่ผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคสิว มีดังนี้

1. เชื่อว่าฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกเป็นสาเหตุของสิว จึงล้างหน้าฟอกสบู่บ่อยๆ ความเชื่อนี้ทำให้ผู้เป็นสิวล้างหน้าบ่อยเกินไป และใช้สบู่ที่แรงหรือสบู่ยา ทำให้หน้าอักเสบ ระคายเคือง และสิวกำเริบขึ้น

2. เชื่อว่ากินช็อกโกแลตแล้วทำให้สิวขึ้น ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าอาหารพวกช็อกโกแลต มันฝรั่ง ถั่วทอด พิซซ่า อาหารมันๆ น้ำอัดลม หรือไอศกรีม กระตุ้นให้สิวเกิดขึ้นอาหารพวกไอศกรีมและนมไม่ทำให้สิวกำเริบ ยกเว้นกรณีผู้ที่เป็นสิวอักเสบและรักษาโดยกินยากลุ่มเตตราไซคลีน ไม่ควรดื่มนมภายในเวลา 1 ชั่วโมงครึ่งก่อน หรือ 2 ชั่วโมงหลังกินยา เพราะแคลเซียมในนมขัดขวางการดูดซึมของยา

3. เชื่อว่าสิวเป็นแค่เรื่องความหล่อ ไม่ได้เป็นโรคผิวหนัง ก็เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะสิวที่รุนแรงหากปล่อยให้หายเองจะทิ้งแผลเป็นอย่างมาก มีงานวิจัยชี้ว่าแผลเป็นเหล่านี้ส่งผลเสียทางจิตใจอย่างชัดเจน พบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคสิวเรื้อรัง ร้อยละ 44 เกิดความกังวล และร้อยละ 18 มีอารมณ์ซึมเศร้า

4. เชื่อว่าแสงแดดทำให้สิวดี ขึ้นแสงแดดอาจทำให้ดูเหมือนว่าสิวดีขึ้น เพราะแสงแดดทำให้ผิวไหม้แดงและผิวคล้ำลง ช่วยบดบังรอยแดงรอยดำจากสิวอักเสบ แต่แท้จริงแล้วนอกจากแสงแดดเป็นอันตรายต่อผิวหนังแล้ว แสงแดดยังทำให้ผิวระคายเคืองและสิวกำเริบ

5. เชื่อว่าการรักษาสิวนั้นยิ่งใช้ยาแรงยิ่งได้ผลดี วัยรุ่นที่เป็นสิวเชื่อว่าการรักษาสิวนั้นยิ่งใช้ยาแรงยิ่งได้ผลดี ที่จริงแล้วถ้ายาความเข้มข้นต่ำได้ผลดีก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาแรงขึ้น นอกจากจะเสียเงินมากขึ้นโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังอาจเกิดผลแทรกซ้อน เช่น การระคายเคืองมากขึ้น


ทั้งนี้ การรักษาสิวที่ถูกต้องนั้น ผู้ป่วยควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ไม่ควรไปหลงเชื่อคำโฆษณาเกินจริงของผลิตภัณฑ์ที่ถูกผลิตออกมาเพื่อผลในทางการค้า

พยาบาลน้อย


ข้อมูลจากนิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 351
คอลัมน์: เก็บข่าวมาฝาก
นักเขียนรับเชิญ: กองบรรณาธิการ

ที่มา:http://men.sanook.com

วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

ป้องกัน และ รักษาสิวด้วยตัวเอง


ที่มา:http://blog.janthai.com/wp-content/uploads/2011/07/1283192195.jpg

"สิว" เรื่องเล็กที่ไม่เล็กสำหรับสาวๆ เพราะเป็นขึ้นมาทีไร ไม่ค่อยจะ ยอมหาย ไปง่ายๆ แถมยังชอบขึ้น ในจุดเด่นๆ ให้ใครๆทัก จนเจ้าของ (สิว) อดจะกระอัก กระอ่วนใจไม่ได้ แต่ต่อไปนี้ คุณไม่ต้อง ลำบากใจ กับเรื่องเหล่านี้อีกแล้วเพราะเรามีวิธีดูแล รักษาผิวพรรณ ทั้งยามก่อนและ หลังเป็นสิว มาให้ทดลอง ทำกันตั้งหลายวิธี ยังไงๆ ก็ต้องมีที่เหมาะ กับคุณสักข้อละน่า

เรียนรู้และเข้าใจ "สิว" 
     สิว เกิดได้กับคนทุกวัย แต่มักเป็นมากที่สุดกับวัยรุ่น อายุระหว่าง 12-24 ปี ซึ่งโดยปกติแล้ว พออายุย่างเข้าเลขสาม สิวก็มักจะค่อยๆ หายไปเอง ยกเว้น ในบางช่วง ที่ระดับฮอร์โมน ผันแปร เช่น ช่วงก่อนมีประจำเดือน ก็อาจมีมาให้เห็นบ้างประปราย ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไรแต่ถ้าใครเป็นสิว แล้วไม่หายสักที สันนิษฐาน ไว้ก่อนได้เลยว่า อาจเป็นเพราะกรรมพันธุ์ อันนี้รักษาเองไม่มีทางหายแน่ ควรรีบไปปรึกษา คุณหมอวิเคราะห์เจาะลึกกัน ไปเลยว่าใช้ยาอะไรดี ถ้านอกเหนือจากกรณีนี้ ทดลองวิธีป้องกันและรักษาสิว คงมีสักข้อที่เหมาะกับคุณ



ที่มา:http://www.t-how.com

 ป้องกัน และ รักษา"สิว"

หลีกเลี่ยงการสัมผัสหัวสิว
     การสัมผัสที่หัวสิว ไม่ว่าจะเป็นจับเพราะ อยากรู้ว่าเจ็บหรือเปล่า, จับเพราะ เห็นว่า ขนาดมันเริ่มโตขึ้น หรือจับเพราะคันไม่คันมือ อยากจะบีบมันออก ให้สิ้นเรื่องสิ้นราว นอกจากไม่ช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น ยังส่งผลเสียใน ระยะยาว คือทำให้เกิดแผลเป็นอันไม่พึงประสงค์ขึ้นบนหน้า ถ้าไม่อยาก มีรอยแผลเป็นเอาไว้เตือนใจละก็ ดูแต่ตา (มืออย่าต้อง) เป็นดีที่สุด

กินอาหารสร้างเซลล์ผิว 
     สำหรับคนที่เป็นสิว ให้กินสังกะสี (จากในอาหาร หรือชนิดเม็ดก็ได้) วันละประมาณ 30-45 มิลลิกรัม จะช่วยให้ร่างกาย สร้างเนื้อเยื่อผิว ใหม่ได้ดีขึ้น

ไม่ควรอาบแดด 
      หลายต่อหลายคนเข้าใจผิดว่า อาบแดด ช่วยให้สิวยุบ จริงๆแล้วไม่เกี่ยว กันเลย แต่ที่เราเห็นเป็นอย่างนั้น เพราะสีผิวที่คล้ำขึ้น ทำให้มองเห็นเม็ดสิว ไม่ชัด และแสงแดดทำให้ผิวแห้งขึ้นเท่านั้น ซึ่งถ้าจะพูดถึงผลระยะยาว การอาบแดดน่ะมีแต่ภัยร้ายทั้งนั้น ทำให้ผิวเหี่ยวย่นก่อนวัย แถมยังอาจ มีมะเร็งผิวหนังเป็นของแถม และสำหรับคนที่ทายาแก้สิว การถูกแสงแดด แรงๆ จะทำให้ผิวไหม้เสียด้วยซี เห็นไหมว่าไม่มีข้อดีเลย เก็บผิวไว้สู้แดด ตอนที่สิวหายแล้วจะดีกว่า

 เลือกเครื่องสำอางที่เหมาะสม
 1.1 ช่วงที่รักษาสิว ถ้าจะให้ได้ผลดี ให้เปลี่ยนมาใช้เครื่องสำอาง ประเภท ปราศจากน้ำมัน (oil-free) ไม่ว่าจะเป็นรองพื้น, บรัชออน, อายแชว์โดว์ หรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์ 
1.2 อย่าตื่นตกใจ ถ้าช่วง 2-3 สัปดาห์แรก ของการ รักษาสิว อาจจะทารองพื้นยากไปสักนิด เพราะตัวยาบางประเภท เช่น topical tretinoin หรือ benzoyl poroxide ทำให้ผิวแดง หรือเป็น สะเก็ด แต่ไม่นานอาการนี้จะหายไปเอง
 1.3 งดใช้ผลิตภัณฑ์ใส่ผมสักระยะ เพราะสารในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มักตกค้างอยู่ ที่ตีนผม ให้เกิดสิว หรือก่อให้เกิดการระคายเคืองเพิ่มขึ้น -เลือกใช้เครื่อง สำอางที่มีป้ายบอกว่า noncomedogenic (ไม่ก่อให้เกิดสิว)

"เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เพื่อนๆอย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะ อย่าให้สิวขึ้นนะจ๊ะ เดี๋ยวจะยุ่งยากกับการรักษา"

พยาบาลน้อย

ที่มา : http://board.narak.com/topic.php?No=24874


สิวกับวิตามินเอ!!


ที่มาของภาพ :http://board.postjung.com/data/579/579952-img-1.jpg

ปัญหาเรื่องสิวอาจไม่ใช่เรื่องขำ ขำ อีกต่อไป ถ้าเป็นสิวเม็ดใหญ่ และมีอาการอักเสบ ปัจจุบันสิวไม่ได้เป็นเพียงเรื่องความสวยงาม เพราะที่ผ่านมาคนไทยเมื่อมีปัญหาเรื่องสิวมักซื้อยามาใช้เองหรือปรึกษาช่างเสริมสวย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วแพทย์ทั่วโลกจัดให้สิวเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ผิวหนัง และมีวิธีรักษาแตกต่างกันไปตามลักษณะของสิว ในครั้งนี้จะขอกล่าวถึงการรักษาสิวโดยใช้ยากลุ่มกรดวิตามินเอที่มีสรรพคุณรักษาสิวหัวช้าง สิวอักเสบเรื้อรังที่ทำให้จมูกผิดรูปร่าง สิวที่ทำให้เกิดแผลเป็นมาก ๆ สิวที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ และสิวในผู้ป่วยที่มีอาการวิตกกังวลเกินเหตุ 

รู้จักกรดวิตามินเอ
ยากลุ่มกรดวิตามินเอ คือกลุ่มยาที่มีชื่อทางเคมี คือ ไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin) หรือ เรติโนอิก แอซิด (Retinoic Acid) ซึ่งมีชื่อทางการค้าหลายอย่างเช่น โรแอคคิวเทน (Roaccutane), แอคโนติน (Acnotin), โซเตรท (Sortret), ไอโซเทน (Isotane) ฯลฯ เป็นยาที่จัดให้เป็นยาควบคุมพิเศษซึ่งต้องจ่ายโดยมีใบสั่งยา และต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังเท่านั้น มีสรรพคุณใน การลดการทำงานต่อมไขมันและต้านการอักเสบ ใช้รับประทานเพื่อการรักษาสิวหัวช้าง สิวที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ สิวอักเสบเรื้อรัง สิวที่เกิดจากความเครียด ซึ่งยากลุ่มกรดวิตามินเอสำหรับรักษาสิวมี 2 แบบด้วยกัน คือ แบบทา และแบบรับประทาน แต่ในบทความนี้ขอเน้นกล่าวถึงเฉพาะชนิดรับประทานเท่านั้น 

กรดวิตามินเอชนิดรับประทาน...ผลดี และผลเสียต่อร่างกาย
       ด้วยสรรพคุณของกรดวิตามินเอที่มีทั้งผลดีและผลเสียต่อร่างกายทำให้ผู้ที่รับประทานยา กลุ่มกรดวิตามินเอเข้าข่ายได้อย่างเสียอย่าง คือ ผลดีของกรดวิตามินเอสามารถรักษาสิวอักเสบ สิวหัวช้างได้ดี สิวหายได้ค่อนข้างสมบูรณ์ และสงบได้เป็นเดือน หรือ เป็นปีขึ้นกับแต่ละบุคคล แต่ผลข้างเคียงจากการใช้กรดวิตามินเอนั้นมีความรุนแรงอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว โดยยากลุ่ม กรดวิตามินเอที่ใช้รับประทานมีผลข้างเคียงต่อการตั้งครรภ์โดยตรง คือ มีผลต่อการสร้างอวัยวะของ ตัวอ่อนในครรภ์ โดยเฉพาะช่วงอายุครรภ์ 1-3 เดือนแรก โดยมีผลต่อระบบหัวใจ ระบบประสาท และกระจกตา ซึ่งผลดังกล่าวไม่ขึ้นกับระยะเวลาหรือปริมาณที่ใช้ คือ การใช้มานานหรือเพิ่งใช้ ใช้มากหรือน้อย ส่งผลดังกล่าวได้ทั้งนั้น ความรุนแรงขึ้นอยู่กับร่างกายแม่และเด็กแต่ละคน ผู้ใช้ยากลุ่มกรดวิตามินเอจึงต้องคุมกำเนิดก่อนกินยาอย่างน้อย 3 เดือน และคุมกำเนิดตลอดระยะเวลาที่ใช้ยาตัวนี้ในการรักษา และต้องหยุดยาล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน ถึง 1 ปี จึงจะตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ ตัวยายังทำให้ริมฝีปากแห้ง ตาแห้ง บางคนอาจมีเลือดกำเดาไหล ในบางรายอาจทำให้ตับอักเสบ มีไขมันในเลือดสูง



         สำหรับผู้ที่สวมคอนแทคเลนส์ การใช้ยานี้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองตา เนื่องจากผลข้างเคียงของยาทำให้เกิดอาการตาแห้ง รวมทั้งยานี้ยังอาจทำให้ประสิทธิภาพการมองเห็นในตอนกลางคืนลดลง และสามารถเกิดขึ้นได้อย่างเฉียบพลัน ดังนั้น ผู้ที่ใช้ยานี้ควรระมัดระวังในการขับขี่ยานพาหนะ หรือทำงานกับเครื่องจักร หากเกิดอาการดังกล่าวขึ้นต้องหยุดยาและปรึกษาแพทย์ทันที

 ข้อควรระวังก่อนใช้กรดวิตามินเอ 

    1. ควรใช้ยานี้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนังอย่างใกล้ชิด
    2. ห้ามใช้ยานี้ในหญิงมีครรภ์เพราะมีรายงานว่าทำให้ทารกพิการ เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ได้
    3. ยานี้อาจเป็นสาเหตุในเกิดอาการซึมเศร้า จิตผิดปกติ
    4. ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคตับ โรคไต ผู้ที่มีภาวะวิตามินเอสูงเกิน
    5. ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แพ้หรือไวต่อยานี้

พยาบาลน้อย

ที่มา:http://women.thaiza.com/

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2556

พอกหน้าห่างไกลสิว!!

  พอกหน้าด้วยผงพิเศษตราร่มชูชีพและไข่แดง เพื่อใบหน้าที่เนียนนุ่มและปราศจากสิว 

ส่วนผสมและอุปกรณ์ : 
 ไข่ไก่ 1 ฟอง เลือกใช้เฉพาะไข่แดง  
 ผงพิเศษตราร่มชูชีพ 1 ซอง  
 กระดาษทิชชู่เช็ดหน้าตัดเป็นชิ้นสี่เหลื่ย­ม ขนาด 1 นิ้ว 

ประโยชน์
 ♥ ไข่แดงมีวิตามิน A, B2 แร่ธาตุสังกะสี โปแตสเซี่ยม โปรตีนและไขมันในปริมาณที่สูง ซึ่งจะช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม ไม่แห้งกร้าน 
ผงพิเศษตราร่มชูชีพ ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกที่อุ­ดตันรูขุมขนบนใบหน้าให้หมดไป ไม่มีสิว 
ควรพอกหน้าด้วยผงพิเศษตราร่มชูชีพ กับไข่แดงสัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง เพื่อผิวหน้าเนียนนุ่ม ไม่แห้งกร้าน กระจ่างใส ไร้สิว



เพื่อนๆลองนำไปทำตามดูนะค่ะ

พยาบาลน้อย

♥ ผลงานถ่ายวีดีโอชิ้นแรกของ คูน Pises Powder Star 
ที่มา: http://www.youtube.com/watch?v=orDNzb8NOpA

วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2556

มารู้จักกับ การเกิดสิว

   "สิว" เกิดจากความผิดปกติของต่อมไขมันบนผิวหนังของเรา เกิดการอุดกลั้นของทางเดินของไขมัน อาจจะทำให้เกิดสิวหัวดำหรือหัวขาวก็ได้ และถ้าหากสิวติดเชื้อแบคทีเรีย ก็อาจทำให้เกิดสิวอักเสบ และเป็นหนองได้

 ต่อมบนชั้นผิวหนังของคนเราประกอบไปด้วย ต่อมต่างๆมากมาย เช่น
    Sebaceous Gland หรือต่อมไขมัน
    Follicle หรือรากขน
    Sebum หรือไขมัน
    Pore หรือรูขุมขน

ปัจจัยต่างๆที่ทำให้เกิดสิว ได้แก่ 
    -ฮอร์โมน ร่างกายสร้างฮอร์โมน Androgen ( ฮอร์โมนเพศชาย ) ขึ้นมาทำให้มีการสร้างไขมันเพิ่มขึ้น โดยฮอร์โมน Androgen จะเริ่มสร้างเมื่ออายุ 11-14 ปี ทำให้เกิดการเป็นสิวมากในช่วงอายุนี้ การผลิตไขมันผิดปกติ


ที่มาของภาพ : http://www.108health.com

    -การผลิตไขมันที่ผิดปกติ  ของชั้นผิวหนังและการติดเชื้อแบคทีเรีย  ทำให้เกิดการอุดตันจนเกิดสิวขึ้นได้
    -ความผิดปกติของรากผม เมื่อรากผมเจริญเติบโตเร็วกว่าปกติ ทำให้เซลล์มีการแบ่งตัวเร็ว ทำให้เซลล์ที่ตายมีจำนวนมากจนเกิดการอุดตันของต่อมไขมัน ก็ทำให้เกิดสิวได้
   -อารมณ์ สภาพจิตใจที่แปรปรวนก็สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวได้ โดยที่คนอารมณ์ดีจะเกิดสิวน้อยกว่าคนที่อารมณ์ไม่ดี
   -การทำงานของต่อมไขมัน (Sebaceous Glands) หากทำความสะอาดไม่ทั่วถึงก็ทำให้เกิดสิวได้


                                                       ต่อมไขมัน (Sebaceous Glands)

   - การแพ้อากาศ สิวจากการแพ้อากาศเกิดขึ้นไม่เหมือนกัน บางคนอาจเกิดบ่อยในหน้าร้อน หรือบางคนอาจเกิดบ่อยในหน้าหนาว
   -แบคทีเรีย แบคทีเรียจำพวก Propionibacterium Acne ก็ทำให้เกิดการอักเสบของสิวได้เช่นกัน 

                                                              Propionibacterium Acne

     -เครื่องสำอาง การเลือกใช้เครื่องสำอางก็เป็นปัจจัยที่สำคัญของการเกิดสิว
     -ยาบางชนิดก็ทำให้เกิดสิวได้ เช่น Steroid Testosterone INH Iodides Bromide Gonadotropine Anabolic steroid และยาคุมกำเนิด ตำแหน่งที่เกิดสิวบ่อยๆ ได้แก่บริเวณที่ไขมันมากๆ เช่น หน้า หลัง อก ไหล่


พยาบาลน้อย

ที่มา : www.108health.com

วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2556

รู้จักสิวให้มากขึ้น


ที่มาของภาพ : http://c.lnwfile.com/_files/n6/hu/ia.jpg

    จริงอยู่ที่เรื่องสิวเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ใครบ้างจะอยากให้ใบหน้าเขรอะสิว ซึ่งวิธีที่จะสยบสิวอาจไม่ใช่การเข้าคลินิกหาหมอเพียงอย่างเดียว เพราะคุณควรรู้ที่มาที่ไปและการดูแลตนเองในขั้นเริ่มแรกเสียก่อน

    เพ็ญพรรณ วัฒนไกร ผู้ช่วยศาสตราจารย์หน่วยโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ไขความข้องใจเกี่ยวกับสิวว่า สิวเป็นโรคผิวหนังที่เริ่มพบได้บ่อยในวัยรุ่น เกิดจากสาเหตุร่วมกันคือ การอุดตันในรูขุมขนเกิดเป็น โคมิโดน(สิวเสี้ยน) การขยายขนาดและการหลั่งไขมันเพิ่มของต่อมไขมัน ร่วมกับเชื้อแบคทีเรียในขุมขนทำให้เกิด การอักเสบ เป็นตุ่มหนอง 

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว 
1. กรรมพันธุ์/อายุ จะพบมากในวัยหนุ่มสาวเนื่องจาก ฮอร์โมนเพศมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน 
2. ยา/เครื่องสำอางบางอย่าง เช่น ครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด สบู่บางอย่าง น้ำมันแต่งผม ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน
3. การระคายเคือง เช่น การเสียดสี ถูไถ การนวดหน้า การล้างหน้า เป็นต้น
4. อารมณ์เครียด ความกังวล ทำให้สิวเห่อได้ 
5. อาหารบางชนิด อาจมีส่วนกระตุ้น เช่นผู้ป่วยบางรายจะสังเกตพบว่าสิวเห่อจากการรับประทานอาหารบางประเภท เช่น ถั่ว ของหวาน ของมันๆ ช็อกโกแลต 
6. ผู้หญิงหลายคนสังเกตว่า ช่วงมีประจำเดือนสิวเห่อมากขึ้น ซึ่งเกิดจากความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย 

ที่มาของภาพ  :http://p.s1sf.com/wo/0/ud/219/1098476/face.jpg

 การปฏิบัติตน
 
1. หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว เช่น เครื่องสำอางที่เพิ่มความมันบนใบหน้า การนวดและการขัดหน้า 2. ล้างหน้า ฟอกสบู่อ่อนเพียงวันละ 2-3 ครั้งเท่านั้น ไม่ควรฟอกสบู่บ่อยเกินไป เพราะจะระคายรูขุมขนและทำให้สิวเห่อ/อักเสบ ขึ้นได้ 
3. หากต้องใช้เครื่องสำอางหรือโลชั่น ควรเลือกใช้ ชนิดOil-free ที่ไม่ก่อให้เกิดสิว (nonacnegenic) และไม่ก่อการอุดตัน (noncomedogenic) 
4. อย่าบีบ หรือแกะหัวสิวให้แตกเอง เพราะจะทำให้อักเสบมากขึ้น หายช้าลง ทำให้เกิดแผลเป็นได้ 
5. พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด หรือวิตกกังวลเกินไป 
6. ถ้าเป็นสิวหัวหนอง หรือมีการอักเสบมาก ควรพบแพทย์เพื่อจะได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นจากสิว 

   การรักษาสิว ผู้ป่วยควรจะเข้าใจว่า การรักษาสิวต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการขจัดการอุดตันของรูขุมขน โดยทั่วไปต้องใช้ยาอย่างสม่ำเสมอนาน 6-8 สัปดาห์ ก่อนจะเริ่มเห็นผลดีขึ้น และมักต้องใช้ยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานหลายเดือน

พยาบาลน้อย

ที่มา :http://lifestyle.th.msn.com/

วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

เรื่องสิวที่ไม่สิว!!


ที่มาของภาพ : http://img.kapook.com/image/health/01_16.jpg

       สิวเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยที่สุด มีลักษณะครบคำจำกัดความของคำว่า " โรค" จึงไม่ได้จัดเป็นแค่ปัญหาความงามแต่เพียงอย่างเดียว นอกจากนั้นสิวยังมีหลายรูปแบบ ซึ่งจะมีการรักษาที่อาจแตกต่างกันออกไป จึงต้องอาศัยการวินิจฉัยที่ถูกต้องจากแพทย์ บริเวณที่สิวชื่นชอบมากเป็นพิเศษก็คือ ใบหน้า หน้าอก และหลัง ซึ่งเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันอยู่เป็นจำนวนมาก โดยสิวสามารถเกิดได้จากหลายๆสาเหตุด้วยกัน 

 ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว มีดังนี้ 

 1.1พันธุกรรม(genetic) อาจจะมีประวัติการเป็นสิวในครอบครัว

1.2ฮอร์โมนเพศ ได้แก่ ฮอร์โมน Androgen ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย มีฤทธิ์กระตุ้นให้ต่อมไขมัน(sebaceous gland) ให้มีสร้างไขมันบนผิวหนัง(sebum)เพิ่มขึ้นตามวัยดังนี้ 
         1.2.1 ต่อมไขมันเริ่มสร้าง sebum เมื่ออายุ 3 เดือนและลดการสร้างจนวัดระดับ sebum ไม่ได้เมื่ออายุ 6 เดือน 
         1.2.2 เริ่มสร้าง sebumใหม่เมื่ออายุ 7-8 ปีและเพิ่มจนมากที่สุดเมื่ออายุ 16-20 ปี ระดับsebumคงที่ และจะลดลงเมื่ออายุ 40 ปี ในผู้หญิง เมื่ออายุ 50 ปีในผู้ชาย 
         1.2.3 ยิ่งมีการสร้าง sebumมากก็ยิ่งมีการสร้าง comedone มากก็เกิดสิวตามมา คนเป็นสิวส่วนใหญ่มีระดับฮอร์โมนเพศปกติ 

1.3 เชื้อแบคทีเรีย Proprionebacterium acne ที่อยู่ในรูขุมขน ซึ่งจะย่อยสลายไขมันทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนและเกิดการอัก เสบขึ้น 

1.4 Hormone เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะในผู้หญิง ตัวอย่างเช่น ในภาวะก่อนมีประจำเดือน หรือขณะตั้งครรภ์ จะมีสิวเพิ่มขึ้น หรือ เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นต่อมไขมันจะมีขนาดโตขึ้นและผลิตไขมันมากขึ้น 

 1.5 ความเครียด ท้องผูก เนื่องจากความเครียดจะกระตุ้นให้ต่อมไขมันหลั่งไขมันออกมามากขึ้น 

1.6 ปัจจัยแวดล้อม เช่น การใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของลาโนลินและขี้ผึ้ง การล้างหน้าด้วยสบู่บ่อยๆ หรือการใช้ยาสเตียรอยด์ วิตามินบางชนิด ยาทาฝ้า สารก่อฟองในสบู่ล้างหน้าหรือแชมพูบางชนิด การสัมผัสสารคลอรีน น้ำมัน ไฮโดรคาร์บอน บางคนอาจแพ้สารเคมีบางชนิดในน้ำมันแต่งผม หรือยาย้อมผม การรับประทานยาบางประเภท เช่น ฮอร์โมน , ยาคุม เป็นต้น 

1.7 การนอนดึก ทำให้สิวเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสิวอักเสบ อาจเป็นเพราะ 
      1.ร่างกายอ่อนแอ เชื้อ Becteria ในสิว ทำให้มีการอักเสบมากขึ้น 
      2.Hormone เปลี่ยนแปลง 

1.8 การล้างหน้าบ่อยๆ อาจเกิดการระคายเคืองทำให้เป็นสิวได้ 

 การรักษาสิวมีหลักง่ายๆ 2 วิธี

1. ถ้าเป็นสิวไม่อักเสบ เม็ดเล็กๆ จำนวนไม่มาก ก็ทำความสะอาดผิวหนังและใช้ยาทารักษาสิวบ้างเป็นบางครั้ง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีการอุดตันของไขมันในรูขุมขน (comedone) ก็พอจะช่วยให้สิวลดลงหรือป้องกันไม่ให้สิวใหม่เกิดขึ้น 
 2. ถ้าเป็นสิวอักเสบ คงต้องปรึกษาแพทย์ เพราะต้องใช้ปฏิชีวนะ (รับประทานหรือทาเฉพาะที่แล้วแต่ความรุนแรงของสิว) ซึ่งควรจะต้องรีบรักษา และหลีกเลี่ยงการแกะหรือบีบ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดเป็นรอยแผลเป็น รอยบุ๋ม ขึ้นภายหลังซึ่งรักษายากมาก


พยาบาลน้อย

ที่ีมา : http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=75701